ผลกระทบจากภาษีตอบโต้: ไทยในยุคเศรษฐกิจโลก-Trump Tariffs มีทั้งได้-เสีย
บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้าไทย โดยระบุว่าประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าเป็นอันดับที่ 11 ภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 36% สำหรับสินค้านำเข้าทุกรายการจากไทย ถือเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและเวียดนาม นอกจากนี้ยังสูงกว่าส่วนต่างภาษีนำเข้าสินค้าจริงที่ต้องจ่ายกับสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า การเรียกเก็บภาษีในระดับนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย โดยมีสัดส่วนการค้าถึง 18.3% […]
บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้าไทย โดยระบุว่าประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้าเป็นอันดับที่ 11 ภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 36% สำหรับสินค้านำเข้าทุกรายการจากไทย ถือเป็นอัตราที่สูงเป็นอันดับ 3 รองจากจีนและเวียดนาม นอกจากนี้ยังสูงกว่าส่วนต่างภาษีนำเข้าสินค้าจริงที่ต้องจ่ายกับสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า
การเรียกเก็บภาษีในระดับนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย โดยมีสัดส่วนการค้าถึง 18.3% และจะทำให้อุปสงค์ในตลาดลดลงจากราคาสินค้านำเข้าที่แพงขึ้น ทั้งนี้ สินค้าไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า
ความเสี่ยงในกลุ่มสินค้าไทย
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ได้แก่:
- คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ – อัตราภาษีตอบโต้ของไทยสูงกว่าแม็กซิโกและไต้หวัน
- อุปกรณ์ไฟฟ้า – ไทยมีอัตราภาษีสูงกว่าประเทศคู่ค้าหลายประเทศ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า – อัตราภาษีที่สูงกว่าสหรัฐฯ ทำให้ลดความสามารถในการแข่งขัน
- ผลิตภัณฑ์ยาง – ส่งผลกระทบต่อการส่งออกยางและถุงมือยาง
- อาหารสัตว์เลี้ยง – ไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงกว่าหลายประเทศที่เป็นคู่แข่ง
แนวทางการเจรจาทางการค้า
ในสถานการณ์นี้ เรามองว่าประเทศที่เข้าสู่การเจรจาทางการค้าอย่างรวดเร็วจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในอนาคต โดยไทยอาจมีแนวทางในการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และลดภาษีนำเข้าที่มีอยู่ ขณะเดียวกันก็อาจต้องลดมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ เพื่อให้การเจรจาประสบผลสำเร็จ
ทั้งนี้ คาดว่ากระบวนการเจรจาจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าจะสิ้นสุดประมาณเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งหากผลการเจรจาสำเร็จ ประเมินผลกระทบในหลายกรณีว่าจะมีผลต่อการส่งออกไทยและ GDP ของประเทศ
ผลกระทบต่อกลุ่ม Agro & Food Sector
มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร เช่น บริษัท Thai Union (TU) และ ITC ที่มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ สูง อาจเผชิญกับการชะลอคำสั่งซื้อจากลูกค้าในสหรัฐฯ ส่งผลให้ยอดขายลดลงในอนาคต
ในทางกลับกัน กลุ่มเนื้อสัตว์ เช่น CPF, BTG, TFG และ GFPT อาจมีโอกาสเติบโตจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง หากไทยเปิดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากการนำเข้าหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งอาจทำให้ราคาหมูในประเทศลดลงและส่งผลกระทบต่อกำไรในกลุ่มนี้
ในที่สุด การเตรียมตัวและการปรับกลยุทธ์ทางการค้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทย เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ