ศูนย์จีโนมฯ รามาธิบดี เผย 8 ปัจจัยเสี่ยง ทำไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักเกินคาด
ศูนย์จีโนม รามาธิบดี เปิด 8 ปัจจัยเสี่ยง "คนป่วยยังทำงาน-ติดเชื้อข้ามสายพันธุ์" ทำไข้หวัดใหญ่ระบาดหนักเกินคาด
Available in other languages:ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย โดยระบุว่ามีปัจจัยเสี่ยงถึง 8 ประการที่ส่งผลให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2568 นี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะช่วยในการวางแผนรับมือและควบคุมการแพร่ระบาดในอนาคต
สถิติการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในช่วงต้นปี 2568 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงส่วนใหญ่เลือกที่จะรักษาตัวเองหรือไปคลินิกเอกชนโดยไม่แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมถึง 2.4 พันล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล 1.1 พันล้านบาท และการสูญเสียผลิตภาพจากการขาดงานอีก 1.3 พันล้านบาท
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เปิดเผยว่า ปัญหาหลักที่พบคือระบบรายงานผู้ติดเชื้อที่ไม่สมบูรณ์และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กปฐมวัย และผู้ต้องขังในเรือนจำ
ปัจจัยหลัก 8 ประการที่ส่งผลให้การระบาดของไข้หวัดใหญ่สูงขึ้น ได้แก่:
- ระบบรายงานไม่สมบูรณ์: 30-40% ของผู้ป่วยไม่ถูกบันทึกในระบบ เนื่องจากเลือกที่จะรักษาตัวเอง
- ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร: โรงพยาบาลในบางพื้นที่ขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจ
- สภาพแวดล้อมเสี่ยงในเรือนจำ: ความแออัดทำให้การติดเชื้อในเรือนจำสูงกว่าชุมชน
- ภูมิคุ้มกันในเด็กปฐมวัย: เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ขาดการสัมผัสเชื้อตามธรรมชาติจากมาตรการโควิด-19
- ความเสี่ยงจากสัตว์ปีก: การระบาดไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มความเสี่ยงการกลายพันธุ์
- วัฒนธรรมการทำงานขณะป่วย: พนักงานกลัวถูกตัดเงินเดือนจึงยังคงทำงานแม้มีอาการป่วย
- ข้อจำกัดการวินิจฉัยแยกโรค: การติดเชื้ออื่นๆ ทำให้มีการประมาณการผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คลาดเคลื่อน
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ค่าใช้จ่ายและการสูญเสียผลิตภาพทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก
การรับมือไข้หวัดใหญ่ในปีนี้จึงต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มการฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และการพัฒนาระบบรายงานผู้ติดเชื้อที่แม่นยำ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้กับโรคนี้ในอนาคต