ส่งออกไทยเสี่ยงหดตัวแรง แต่ส่งออกไก่ยังเติบโต
การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ทำสถิติใหม่ด้วยมูลค่า 29,584 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดส่งออกสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมีการขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าในเดือนเดียวกันอยู่ที่ 28,575 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 10.2 ส่งผลให้ประเทศไทยกลับมามีดุลการค้าเกินดุลในเดือนนี้ จำนวน […]
การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ทำสถิติใหม่ด้วยมูลค่า 29,584 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นยอดส่งออกสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมีการขยายตัวร้อยละ 17.8 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าในเดือนเดียวกันอยู่ที่ 28,575 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 10.2 ส่งผลให้ประเทศไทยกลับมามีดุลการค้าเกินดุลในเดือนนี้ จำนวน 973 ล้านดอลลาร์
ในภาพรวมของไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคมถึงมีนาคม) การส่งออกมีมูลค่ารวม 81,532.3 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแต่ละเดือนยังคงแสดงแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประเทศไทยมียอดดุลการค้าเกินดุลในช่วงสามเดือนแรกของปี รวมเป็นจำนวน 1,081 ล้านดอลลาร์
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความสำเร็จดังกล่าวว่า การส่งออกในเดือนมีนาคมได้รับแรงส่งหลักจากสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่มีบทบาทสำคัญในการผลิต ซึ่งการขยายตัวนี้สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่อยู่ในระดับสูงขึ้น แม้จะมีความพยายามรับมือกับความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังสามารถรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิต และบรรเทาผลกระทบด้านต้นทุนและราคาสินค้าในอนาคต
นายพิชัยยังเน้นย้ำว่า การเติบโตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดสหรัฐฯ แต่ครอบคลุมตลาดอื่น ๆ ด้วย แม้ในเดือนหน้าอาจมีผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แต่เชื่อว่าสถานการณ์ยังคงเป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยยืนยันว่าอย่ามองว่าปัจจุบันเป็นวิกฤติ เนื่องจากในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งและยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เชื่อมั่นว่าการส่งออกจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ พร้อมคาดการณ์ว่าในเดือนเมษายน การส่งออกของไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนยังคงสดใส
สำหรับความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการประสานงานกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ซึ่งมีสัญญาณในทางบวกให้ไทยมีโอกาสเจรจาในเดือนพฤษภาคม โดยรัฐบาลจะพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดและผลกระทบที่น้อยที่สุดจากนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ ซึ่งแม้จะเป็นวิกฤติ แต่ก็เปิดโอกาสให้กับสินค้าไทย เช่น ถุงมือยาง ที่สามารถทดแทนสินค้าจากต่างประเทศในตลาดสหรัฐฯ ได้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกในเดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 17.8 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 เป็นต้นมา คาดว่าในไตรมาสที่ 2 การเติบโตอาจชะลอลงบ้าง แต่ในไตรมาสที่ 3 ต้องติดตามผลการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยในอนาคต
โดยสาเหตุที่ทำให้การส่งออกเดือนมีนาคมเติบโตสูงมาจากสินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวร้อยละ 23.5 ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเวลา 12 เดือน สินค้าสำคัญที่มีการขยายตัวได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ คาร์บูเรเตอร์ รถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน รวมถึงเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน
ในทางตรงกันข้าม สินค้าสำคัญบางรายการกลับหดตัว เช่น อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ซึ่งหดตัวร้อยละ 31.2 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรก็หดตัวร้อยละ 3.1 ซึ่งเป็นการหดตัวในรอบ 9 เดือน โดยสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวได้แก่ ยางพารา ไก่สด แช่เย็นและแช่แข็ง อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวสาลี ผลไม้สดและแช่เย็น รวมถึงอาหารแห้งและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ
โดยรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มสดใส แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่างประเทศ แต่ความสามารถในการปรับตัวและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ยังเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยให้ไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง